บทความ :
การดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action)
สำหรับประเทศไทยก็มีกฎหมายวีพิจารณาความแพ่งที่เกี่ยวกับการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจำนวนมากไว้อยู่บ้าง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดและไม่สามารถรองรับกรณีที่มีผู้เสียหายมากขึ้นกว่าคดีลักษณะเดิมๆ ที่เคยเป็นมา กล่าวคือ ในกรณีที่มีผู้เสียหายได้รับความเสียหายจากข้อเท็จจริงอันเดียวกันนั้นจะต้องเข้าร่วมดำเนินคดีด้วยตนเอง (เช่น คดีละเมิด คดีผิดสัญญา คดีเรียกร้องตามสิทธิที่เกิดขึ้นจากกฎหมายต่างๆ เช่น กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมายเกี่ยวกับแรงงาน กฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น) และการที่มีผู้เสียหายเป็นจำนวนมากเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการพิจารณาก่อให้เกิดความซ้ำซ้อนในการพิจารณาคดีที่ต้องมีการแยกฟ้องแยกพิจารณาสืบพยาน และผลของคำพิพากษาอาจไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ทั้งที่เป็นผลของคำพิพากษาในเรื่องเดียวกัน ต่อจำเลยคนเดียวกัน จากการกระทำอย่างเดียวกัน แต่คำพิพากษาต่างกัน เช่นนี้อาจก่อให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติตามคำพิพากษาที่ขัดแย้งได้ เช่น กรณีที่ผู้เสียหายหลายคนต่างฟ้องคดีจำเลยเพื่อขอให้มีการเพิกถอนสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์กับจำเลย ศาลที่พิพากษาในแต่ละคดีอาจมีคำพิพากษาต่างกันออกไป เช่น ในคดีหนึ่งพิพากษาให้จำเลยเลิกสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์ แต่อีกคดีหนึ่งพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวข้างต้นนี้จึงได้มีการนำหลักการเกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบกลุ่มมาใช้ โดยนำหลักการส่วนใหญ่มาจากการดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ตาม Rule 23 แห่ง Ferderal Rules of Civil Procedure ของประเทศสหรัฐอเมริกา
1. ความเหมือนกันของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของโจทก์เองและสมาชิกกลุ่ม
ความเหมือนกันของข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญในการร้องขอให้ดำเนินคดีแบบกลุ่ม
ซึ่งที่จะร้องขอให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มได้นั้นจะต้องปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคลที่มีสิทธิอย่างเดียวกันอันเนื่องมาจากข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเดียวกัน และมีลักษณะเฉพาะของกลุ่มเหมือนกัน แม้ว่าจะมีความเสียหายที่ต่างกันก็ตาม ซึ่งสามารถแยกองค์ประกอบได้ดังนี้
1.1 สิทธิอย่างเดียวกันที่มาจากข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเดียวกัน
ตัวอย่างเช่น
การจำหน่ายยาที่บกพร่องและมีผลข้างเคียงในตลาดมาเป็นระยะเวลา 4 ปีโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวยาและสูตรยาแต่อย่างใด
เมื่อผู้ใช้ยาได้รับผลกระทบจากความบกพร่องของยานั้นก็เกิดสิทธิที่จะเรียกร้องความเสียหายจากข้อเท็จจริงที่จำเลยได้จำหน่ายยาดังกล่าว ลักษณะของสิทธิที่เกิดขึ้นนี้แม้ผู้เสียหายจะได้ซื้อยามาในระยะเวลาที่แตกต่างกัน และซื้อยาจากสถานที่ต่างกันก็ตามแต่ก็ยังถือได้ว่าสิทธิเรียกร้องความเสียหายนั้นเป็นสิทธิเดียวกัน ที่มีข้อเท็จจริงเดียวกัน และเป็นสิทธิที่อาศัยหลักกฎหมายเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตามหากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนตัวยาและสูตรยาจากเดิมออกไป ซึ่งกรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่ม เนื่องจากกลุ่มบุคคลนั้นจะต้องมีสิทธิเรียกร้องอย่างเดียวกันที่มาจากข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเดียวกัน
แต่อย่างไรก็ตามหากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้มีการปรับเปลี่ยนตัวยาและสูตรยาจากเดิมออกไป ซึ่งกรณีนี้ไม่ถือว่าเป็นบุคคลที่อยู่ในกลุ่ม เนื่องจากกลุ่มบุคคลนั้นจะต้องมีสิทธิเรียกร้องอย่างเดียวกันที่มาจากข้อเท็จจริงและหลักกฎหมายเดียวกัน
2.2 ลักษณะเฉพะของกลุ่มเหมือนกัน แม้จะมีลักษณะความเสียหายแตกต่างกัน
ตัวอย่างเช่น การที่โรงงานปล่อยสารพิษลงสู่แม่น้ำลำธาร เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบเรื่องเดียว
ผู้ที่ได้รับความเสียหายมีลักษณะเฉพาะจากการที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน
แม้ว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล เช่น
บางคนอาจได้รับความเสียหายทางร่ากาย
บางคนอาจได้รับความเสียหายทางทรัพย์สิน
แต่อย่างไรก็ตามบทบัญญัติเรื่องนี้ก็ถือว่าลักษณะของกลุ่มยังคงเหมือนเดิม
และผู้เสียหายก็ยังคงถือว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่สามารถดำเนินคดีแบบกลุ่มได้
ผลของคำพิพากษาจะผูกพันสมาชิกกลุ่มทุกคน ซึ่งเป็นการยกเว้นหลักคำพิพากษาผูกพันเฉพาะคู่ความ ตามมาตรา
145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
3.
การออกจากกลุ่ม
แม้จะมีการกำหนดความหมายของผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกกลุ่ม และจะต้องผูกพันตามคำพิพากษาตามคำพิพากษาในคดีแบบกลุ่มก็ตาม แต่สมาชิกกลุ่มก็มีสิทธิแสดงเจตนาต่อศาลในการขออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม
และไม่ประสงค์จะผูกพันตามคำพิพากษาในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม โดยต้องการที่จะฟ้องคดีด้วยตนเองได้
4. การถอนฟ้อง
หลักการถอนฟ้องของการดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้น กำหนดให้เป็นดุลพินิจของศาลเป็นผู้พิจารณาในทุกกรณีว่าสมควรอนุญาตให้ถอนฟ้องหรือไม่
โดยคำนึงถึงประโยชน์ของสมาชิกกลุ่มเป็นสำคัญ
และต้องมีการแจ้งให้สมาชิกกลุ่มทราบเพื่อให้สมาชิกกลุ่มมีโอกาสคัดค้าน เพราะถ้าปล่อยให้โจทก์ถอนฟ้องตามหลักกฎหมายทั่วไป โจทก์อาจอาศัยการดำเนินคดีแบบกลุ่มเป็นเครื่องมือในการบีบบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้กับตน
เมื่อจำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายก็ขอถอนคำฟ้อง
ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสมาชิกกลุ่มที่เป็นบุคคลจำนวนมากได้
5. โจทก์ผู้แทนกลุ่มและทนายความโจทก์
ในการดำเนินคดีแบบกลุ่ม โจทก์และทนายความโจทก์จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการดำเนินคดี ดังนั้น
โจทก์และทนายความโจทก์จะต้องมีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่คุ้มครองผลประโยชน์ให้กับสมาชิกกลุ่มได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรม
โดยศาลจะต้องคัดเลือกผู้ที่จะเป็นโจทก์และทนายความฝ่ายโจทก์อย่างละเอียดรอบคอบ
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าการดำเนินคดีแบบกลุ่มนั้นจะมีข้อดีอยู่หลายประการคือ
ทำให้ประชาชนที่มีส่วนได้เสียอาจได้รับความคุ้มครองโดยไม่ต้องเข้ามาในคดีด้วยตนเองอย่างคดีสามัญ
และไม่มีการดำเนินคดีซ้ำซ้อนในเรื่องเดียวกันหลายครั้ง ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของภาครัฐและประชาชนคำวินิจฉัยในเรื่องเดียวกันมีความเป็นเอกภาพ
ทำให้การดำเนินคดีแบบกลุ่มในศาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่การดเนินคดีแบบกลุ่มก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน กล่าวคือ
วิธีการกำหนดสมาชิกของกลุ่มบางกรณีทำได้ยาก การบอกกล่าวไปยังสมาชิกกลุ่มอาจไม่ทั่วถึงทำให้ผู้เสียหายบางส่วนไม่ได้รับการคุ้มครองซึ่งอาจมีผลเสียต่อสมาชิกกลุ่มได้
รวมทั้งการบังคับคดีในประเภทนี้มีความยุ่งยาก เนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่มีอยู่อย่างจำกัด